เดือน: ธันวาคม 2020

มนุษย์เป็นผู้ใด

ชื่อของเขาคือ ดะนิอัน และเขาถือว่าตัวเองเป็นนักเรียนของโลกใบนี้ เขาพูดถึงประเทศและเมืองที่เขาเคยเดินทางผ่านมาว่า “นี่คือโรงเรียนที่ใหญ่มาก” ในปี 2016 เขาเริ่มต้นการเดินทางสี่ปีด้วยจักรยานเพื่อพบปะและเรียนรู้จากผู้คน เมื่อมีอุปสรรคด้านภาษา เขาพบว่าบางครั้งผู้คนสามารถเข้าใจกันได้โดยเพียงแค่มองหน้ากัน นอกจากนี้เขายังใช้แอปพลิเคชั่นแปลภาษาในโทรศัพท์เพื่อช่วยในการสื่อสาร เขาไม่ได้วัดคุณค่าการเดินทางของเขาด้วยจำนวนระยะทาง หรือตามจำนวนสถานที่ที่ได้เห็น แต่เขาวัดคุณค่าจากผู้คนที่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความประทับใจไว้ให้เขา “ผมอาจไม่รู้ภาษาของคุณ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร”

ช่างเป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่พระเจ้าทรงรู้จักทุกสิ่งและทุกคนในโลกนี้เป็นอย่างดีในทุกด้าน ดาวิดผู้เขียนสดุดีรู้สึกยำเกรงพระเจ้าเมื่อท่านได้พิจารณาถึงทุกสิ่งที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ดวงจันทร์และดวงดาว (สดด.8:3) ท่านประหลาดใจว่า “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา” (ข้อ 4)

พระเจ้าทรงรู้จักคุณอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าใครจะสามารถทำได้ และพระองค์ทรงห่วงใยคุณ เราทำได้เพียงตอบสนองว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรดาข้าพระองค์ พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก” (ข้อ 1,9)

ของขวัญแห่งการพูด

ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหลังการผ่าตัดทำให้ทอมพูดไม่ได้และต้องเข้ารับการบำบัดเป็นระยะเวลานาน หลายสัปดาห์ต่อมา เราตื่นเต้นดีใจที่เห็นเขามาร่วมนมัสการวันขอบคุณพระเจ้าที่โบสถ์ และยิ่งประหลาดใจเมื่อเขายืนขึ้นพูด ในขณะพยายามพูดนั้น เขาพูดสลับคำ พูดซ้ำ และสับสนวันเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เขากำลังสรรเสริญพระเจ้า! ในบางสถานการณ์คนเราอาจรู้สึกสะเทือนใจและได้รับการอวยพรในเวลาเดียวกัน นี่คือสิ่งที่พวกเรารู้สึกในเวลานั้น

ใน “เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนวันคริสต์มาส” เราได้พบกับชายคนหนึ่งที่ถูกทำให้เป็นใบ้ ทูตสวรรค์กาเบรียลปรากฏต่อปุโรหิตเศคาริยาห์และบอกว่าท่านจะได้เป็นพ่อของผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ดู ลก.1:11-17) เศคาริยาห์และภรรยาของท่านชรามากแล้ว ท่านจึงสงสัย ในตอนนั้นกาเบรียลจึงบอกว่าท่านจะเป็นใบ้ “จนถึงวันที่การณ์เหล่านี้สำเร็จ” (ข้อ 20)

แล้ววันนั้นก็มาถึง ในพิธีตั้งชื่อเด็กชายที่เกิดมาอย่างอัศจรรย์ เศคาริยาห์พูดได้ คำพูดแรกของท่านคือคำสรรเสริญพระเจ้า (ข้อ 64) ท่านกล่าวว่า “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิสราเอล ด้วยว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์” (ข้อ 68)

ทอมก็เหมือนกับเศคาริยาห์ เขาสรรเสริญพระเจ้าทันทีที่เขาพูดได้ หัวใจของพวกเขาโน้มเข้าหาพระองค์ผู้ทรงสร้างลิ้นและจิตใจ ไม่ว่าเราจะเผชิญสิ่งใดในเวลานี้ เราก็สามารถตอบสนองได้ในแบบเดียวกัน

ปล้ำสู้ด้วยคำอธิษฐาน

ชีวิตของเดนนิสได้รับการเปลี่ยนแปลงหลังจากมีคนให้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กับเขา การอ่านพระคัมภีร์ทำให้เขาหลงใหลและพกติดตัวไปทุกที่ ภายในหกเดือนมีสองเหตุการณ์ที่ได้เปลี่ยนชีวิตเขา คือเขาได้เชื่อวางใจในพระเยซูยกโทษบาปของเขา และเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองหลังจากปวดหัวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่เกินจะทนนี้ทำให้เขาต้องนอนอยู่แต่บนเตียงและทำงานไม่ได้ คืนวันหนึ่งเขาเจ็บปวดมากจนนอนไม่หลับ เขาร้องทูลต่อพระเจ้าและในที่สุดก็หลับลงได้ตอนตีสี่ครึ่ง

ความเจ็บปวดทางกายอาจเป็นเหตุให้เราร้องเรียกหาพระเจ้า แต่ความทุกข์อื่นในชีวิตก็ทำให้เราเข้าหาพระองค์ได้เช่นกัน เมื่อหลายร้อยปีก่อนค่ำคืนที่เดนนิสต้องปล้ำสู้นั้น ยาโคบผู้สิ้นหวังได้พบกับพระเจ้า (ปฐก.32:24-32) สำหรับยาโคบแล้วนี่เป็นปัญหาที่ค้างคาในครอบครัว ท่านได้ทำผิดต่อเอซาวพี่ชาย (บทที่ 27) และกลัวว่าจะต้องชดใช้ในอีกไม่ช้า ในระหว่างทูลขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า ยาโคบได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า (32:30) และจากเหตุการณ์นั้น ท่านเปลี่ยนเป็นคนใหม่

เดนนิสก็เช่นกัน หลังจากอธิษฐานคร่ำครวญต่อพระเจ้า เขาลุกขึ้นยืนได้หลังจากต้องนอนติดเตียง และผลการตรวจจากหมอแสดงว่าไม่มีเนื้องอกอยู่แล้วถึงแม้พระเจ้าไม่ได้เลือกที่จะรักษาเราอย่างอัศจรรย์ทุกครั้งไป เราก็มั่นใจได้ว่าพระองค์ได้ยินคำอธิษฐานของเรา และจะประทานสิ่งจำเป็นให้ในสถานการณ์ที่เราเผชิญ ในความสิ้นหวังนั้นเราเทใจออกต่อพระเจ้าและมอบผลที่จะเกิดขึ้นไว้กับพระองค์!

หมอกยามเช้า

เช้าวันหนึ่งฉันแวะไปที่สระน้ำใกล้บ้าน ฉันนั่งลงบนเรือที่คว่ำอยู่ คิดและเฝ้ามองกระแสลมอ่อนๆจากทิศตะวันตกพัดไล่หมอกที่ลอยเหนือผิวน้ำ หมอกกลุ่มเล็กม้วนหมุนเป็นวงกลม “ลมหมุน” ขนาดจิ๋วก่อตัวขึ้นแล้วสลายไป ไม่นานแสงแดดก็ส่องผ่านก้อนเมฆลงมาแล้วหมอกก็หายไป

ภาพนี้ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจ ฉันคิดถึงข้อพระคัมภีร์ที่เพิ่งอ่านไปว่า “เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก” (อสย.44:22) ฉันไปที่นั่นเพื่อหวังจะดึงตัวเองออกจากความคิดผิดบาปหลายอย่างที่ครอบงำฉันมาหลายวัน แม้ฉันจะสารภาพบาปแล้ว ฉันก็ยังสงสัยว่าพระเจ้าจะยกโทษบาปเดิมๆหรือไม่

เช้าวันนั้นฉันได้คำตอบ พระเจ้าทรงสำแดงพระคุณแก่คนอิสราเอลผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ในเวลาที่พวกเขาต่อสู้กับปัญหาเรื่องรูปเคารพ ถึงแม้พระองค์จะบอกให้พวกเขาเลิกติดตามพระเทียมเท็จ แต่พระเจ้าก็ทรงเรียกพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ด้วยเช่นกัน โดยตรัสว่า “เราได้ปั้นเจ้า เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา...เราจะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 21)

ฉันอาจไม่เข้าใจการอภัยโทษนั้นได้ทั้งหมด แต่ฉันรู้แน่ว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะชำระล้างบาปได้หมดจดและรักษาเราให้หาย ฉันขอบพระคุณที่พระคุณของพระองค์นั้นไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกับที่ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ และพระคุณนั้นมีพร้อมอยู่เสมอในทุกเวลาที่เราต้องการ

ผู้รับใช้แท้จริง

ในปีที่ 27 ก่อนคริสตกาล อ๊อคเตเวียน ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันได้ยืนต่อหน้าสภาสูงสุดเพื่อสละอำนาจ พระองค์มีชัยในสงครามกลางเมือง ได้เป็นผู้ปกครองเพียงผู้เดียวของภูมิภาคและทำหน้าที่เหมือนจักรพรรดิ แต่พระองค์รู้ว่ามีคนกังขาในอำนาจนั้นจึงสละอำนาจต่อหน้าสภาสูงสุด สมาชิกสภาตอบสนองโดยการมอบมงกุฎเกียรติยศรูปใบโอ๊คเพื่อยกย่อง และเรียกพระองค์ว่าเป็นผู้รับใช้ของชาวโรมัน พระองค์ได้ชื่อใหม่ว่าออกัสตัส แปลว่า “ผู้ยิ่งใหญ่”

เปาโลเขียนถึงพระเยซูผู้ทรงสละพระองค์เองแล้วรับสภาพของผู้รับใช้ออกัสตัสก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ ออกัสตัสแค่ทำทีเป็นยอมสละอำนาจแต่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่พระเยซู “ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8) การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของโรมันเป็นความอัปยศที่น่าอับอายที่สุด

ทุกวันนี้เหตุผลที่ทำให้ผู้คนยกย่อง “ผู้นำที่รับใช้” ว่ามีคุณธรรมก็เพราะพระเยซู ความถ่อมตนไม่ใช่คุณธรรมของพวกกรีกหรือโรมัน เพราะพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเรา พระองค์จึงทรงเป็นผู้รับใช้และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริง

พระคริสต์เสด็จมาเป็นผู้รับใช้เพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์ทรง “สละ” (ข้อ 7) เพื่อเราทั้งหลายจะได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือของประทานแห่งความรอดและชีวิตนิรันดร์

การทรงนำของพระเจ้า

เมื่อธนาคารโอนเงินผิดเกือบสี่ล้านมาเข้าบัญชีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งคู่พากันไปช็อปปิ้ง ซื้อรถเก๋ง รถบ้าน และรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 2 คันนอกเหนือจากจ่ายหนี้สิน เมื่อธนาคารตรวจพบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจึงบอกให้ทั้งคู่คืนเงิน แต่พวกเขาใช้เงินนั้นไปแล้วจึงถูกตั้งข้อหาลักทรัพย์ เมื่อมาถึงศาล สามีพูดกับนักข่าวว่า “เราได้รับคำแนะนำทางกฎหมายที่ไม่ดีเลย” ทั้งสองได้เรียนรู้ว่าการทำตามคำแนะนำที่ไม่ดี (และการใช้เงินที่ไม่ใช่ของตน) จะทำให้ชีวิตมีปัญหายุ่งยาก

ในทางกลับกัน ผู้เขียนสดุดีให้คำแนะนำอย่างฉลาดเพื่อช่วยเราให้หลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากในชีวิต ท่านเขียนว่าผู้ที่บรรลุผลสำเร็จอย่างแท้จริง คือผู้ที่ “ได้รับพร”นั้น จะไม่ทำตามคำแนะนำของคนอธรรม (สดด.1:1) คนเหล่านั้นรู้ว่าคำปรึกษาที่โง่เขลาและไม่ชอบธรรมจะนำไปสู่อันตรายที่มองไม่เห็นและผลที่ร้ายแรง อีกทั้งพวกเขามีแรงจูงใจจากการ (ค้นพบ “ความปีติยินดี”) และจดจ่ออยู่กับ (การภาวนา) ในสัจจะนิรันดร์แห่งพระวจนะ (ข้อ 2) พวกเขาได้ค้นพบว่าการยอมจำนนต่อการทรงนำของพระเจ้านำไปสู่ความมั่นคงและการเกิดผล (ข้อ 3)

เมื่อเราต้องตัดสินใจไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กเกี่ยวกับหน้าที่การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ ฯลฯ ขอให้เราแสวงหาพระปัญญาของพระเจ้าจากพระวจนะ จากคำปรึกษาในทางของพระเจ้า และจากการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การทรงนำของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญและไว้วางใจได้สำหรับการดำเนินชีวิตที่บรรลุผลสำเร็จและไม่สร้างปัญหา

ทีมเดียวกัน

เมื่อคาร์สัน เวนซ์กองหลังของทีมฟิลาเดลเฟียอีเกิ้ลกลับลงสนามหลังอาการบาดเจ็บรุนแรง นิค โฟลส์กองหลังสำรองก็กลับไปนั่งข้างสนามอย่างเต็มใจแม้จะเป็นคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกัน แต่ทั้งสองเลือกที่จะสนับสนุนกันและทำหน้าที่ของตนต่อไป นักข่าวคนหนึ่งสังเกตว่าทั้งคู่มี “ความสัมพันธ์ที่พิเศษไม่เหมือนใครซึ่งหยั่งรากอยู่ในความเชื่อในพระคริสต์” โดยสำแดงออกผ่านการอธิษฐานเผื่อกันและกัน พวกเขาถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยระลึกว่าตนอยู่ในทีมเดียวกัน ไม่ใช่แค่ในฐานะกองหลังของทีมอีเกิ้ล แต่ในฐานะผู้เชื่อและตัวแทนของพระเยซู

อัครทูตเปาโลเตือนผู้เชื่อให้ใช้ชีวิตอย่าง “บุตรของความสว่าง” ที่คอยการเสด็จกลับมา (1 ธส.5:5-6) ด้วยความหวังในความรอดที่พระคริสต์ทรงจัดเตรียมให้ เราจะสลัดการทดลองที่อยากจะแข่งขันด้วยความอิจฉาริษยา ความรู้สึกไม่มั่นคง หรือความกลัวออกไปได้ และเราจะ “หนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (ข้อ 11) เราสามารถให้ความเคารพผู้นำที่ถวายเกียรติพระเจ้าและ “อยู่อย่างสงบสุข” ในการรับใช้เพื่อเป้าหมายร่วมกัน คือการประกาศพระกิตติคุณและหนุนใจผู้อื่นให้ดำเนินชีวิตเพื่อพระเยซู (ข้อ 12-15)

ขณะที่เราร่วมรับใช้ในทีมเดียวกันนั้น เราสามารถทำตามคำสอนของเปาโลที่ว่า “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณีเพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย​” (ข้อ 16-18)

กรรมชั่วถูกลบไป

ดีพิก้าแบกรับความรู้สึกผิดตลอดเวลาหลายปีในเรื่องที่เธอเคยปฏิบัติต่อน้องสาวตอนที่พวกเธอยังเด็ก ถึงแม้ว่าเธอจะขอโทษ และน้องก็ให้อภัยเธอแล้ว แต่เธอยังคงรู้สึกผิด

อิสยาห์ 6:1-5 บันทึกไว้ว่าอิสยาห์ได้เห็นนิมิตจากพระเจ้าและรู้สึกสำนึกในความผิดบาปของตน แต่เมื่อถ่านเพลิงจากแท่นบูชาสัมผัสที่ริมฝีปาก ท่านได้ยินคำว่า “กรรมชั่วของเจ้าก็ถูกยกเสีย” (ข้อ 7) ถ่านเพลิงจากแท่นบูชาในพระวิหารมักจะถูกรดด้วยเลือดของลูกแกะที่ถูกนำมาฆ่า ซึ่งเล็งถึงการสละพระชนม์ชีพของพระเยซู เมื่อพระเมษโปดกของพระเจ้าสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ความบาปและความผิดของเราก็ย้ายไปอยู่ที่พระองค์ (1 ปต.2:24)

เรามีความผิดเมื่อเราก่ออาชญากรรมหรือทำบาป ซึ่งสมควรจะถูกประณามและยังทำให้เกิดความรู้สึกผิดด้วย แม้คริสเตียนที่เข้มแข็งที่สุดก็ยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกนี้เวลาที่เขาทำผิด

ความรู้สึกผิดจะมีประโยชน์เมื่อมันทำให้เราสำนึกและนำไปสู่การกลับใจ แต่การจมอยู่กับความรู้สึกผิดหลังจากที่ได้รับการยกโทษแล้วจะทำให้เราขาดอิสรภาพ ความจริงอันงดงามของพระกิตติคุณคือพระคริสต์ทรงชำระล้างความผิดบาปของเรา เราจึงสามารถเป็นไทจากภาระแห่งความรู้สึกผิดได้อย่างแท้จริง ให้เราชื่นชมยินดีที่โดยพระเยซู เราไม่ต้องรู้สึกผิดหรือจมอยู่ในความละอายอีกต่อไป เราได้รับการอภัยโทษแล้ว!

วิธีของป้าเบ็ตตี้

ตอนเป็นเด็ก เวลาที่ป้าเบ็ตตี้มาเยี่ยมผมจะรู้สึกเหมือนวันคริสต์มาส ท่านจะมีของเล่นจากหนังเรื่องสตาร์วอร์สมาฝากและให้เงินผมตอนจะกลับ เวลาที่ผมไปอยู่บ้านท่าน ท่านจะซื้อไอศกรีมไว้เต็มตู้เย็นและไม่ทำอาหารที่มีผัก ป้ามีกฎไม่กี่ข้อและยังยอมให้ผมนอนดึก ท่านใจดีจนน่าทึ่งซึ่งทำให้ผมเห็นความใจกว้างของพระเจ้า แต่การจะเติบโตอย่างแข็งแรงนั้น ผมจำเป็นต้องมีพ่อแม่ที่คอยวางกฎให้ผมปฏิบัติตาม

พระเจ้าทรงขอจากผมมากกว่าที่ป้าเบ็ตตี้ขอ ในขณะที่พระองค์ทรงรักเราอย่างท่วมท้น มั่นคงและไม่หวั่นไหวแม้เราจะดื้อดึงหรือวิ่งหนี พระองค์ทรงคาดหวังบางสิ่งจากเรา เมื่อพระเจ้าทรงสอนอิสราเอลเรื่องการใช้ชีวิต พระองค์ประทานพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งไม่ใช่คำแนะนำสิบประการ (อพย.20:1-17) พระองค์รู้ว่าเราอาจหลอกตัวเองจึงได้บอกความคาดหวังของพระองค์อย่างชัดเจนว่า ให้เรา “รักพระเจ้าและประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (1 ยน.5:2)

ขอบคุณพระเจ้าที่ “พระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ” (ข้อ 3) โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์เราสามารถทำตามพระบัญญัติได้ในขณะที่เราสัมผัสถึงความรักและความยินดีของพระเจ้า ความรักของพระองค์ไม่สิ้นสุด แต่พระวจนะได้ตั้งคำถามเพื่อช่วยให้เรารู้ว่าเรารักพระองค์ตอบหรือไม่ โดยถามว่าเราได้เชื่อฟังพระบัญญัติตามการทรงนำของพระวิญญาณหรือไม่

เราพูดได้ว่าเรารักพระเจ้า แต่สิ่งที่เราทำโดยพระกำลังของพระองค์จะบอกว่าเรารักพระองค์จริงไหม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา